วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บริดจ์กระแสสลับ


เครื่องวัดแบบบริดจ์
บริดจ์กระแสสลับเป็นเครื่องวัดที่ใช้วัดค่าความต้านทาน ค่าความเหนี่ยวนำ และค่าความจุไฟฟ้า โดยอาศัยหลักการเปรียบเทียบค่าความต้านทาน ค่าความเหนี่ยวนำ และค่าความจุที่ต้องการทราบค่า และใช้สภาพสมดุลของวงจรบริดจ์เป็นส่วนประกอบสำคัญของเครื่องวัด ในการชี้ค่าที่ต้องการทราบ สามารถจำแนกได้ 2 ประเภท คือ บริดจ์ไฟฟ้ากระแสตรง กับบริดจ์ไฟฟ้ากระแสสลับ ในที่นี้จะกล่าวถึงบริดจ์กระแสสลับ
บริดจ์กระแสสลับ
วงจรบริดจ์ไฟสลับทั้งหมดมีพื้นฐานมาจากบริดจ์แบบ Wheatstone Bridge ในบริดจ์แบบ Wheatstone Bridge จะประกอบด้วยความต้านทานเท่านั้น แต่วงจรบริดจ์ไฟสลับจะประกอบไปด้วยอิมพีแดนซ์ แหล่งจ่ายแรงดันไฟสลับและตัวตรวจจับ
อิมพีแดนซ์ในวงจรบริดจ์อาจเป็นได้ทั้งค่าความต้านทานและค่าอิมพีแดนซ์เชิงซ้อนก็ได้ วงจรบริดจ์ไฟสลับไม่จำกัดเฉพาะการวัดค่าอิมพีแดนซ์ที่ไม่ทราบค่าเท่านั้น ยังสามารถประยุกต์ใช้ในระบบการสื่อสารและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ได้ วงจรบริดจ์ไฟสลับโดยทั่วไปใช้วัดมุมต่างเฟส สัญญาณป้อนกลับของวงจรขยาย
และการวัดความถี่ของสัญญาณเสียง 


            แขนของวงจร Wheatstone Bridge ประกอบด้วยตัวต้านทาน แต่สำหรับวงจร AC Bridge ประกอบด้วยอิมพีแดนซ์ 4 ตัว นอกจากนี้ยังมีแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (ac source) และเครื่องตรวจจับความเปลี่ยนแปลงไฟฟ้ากระแสสลับ (ac detector) ดังรูป 



รูปที่ 1



             ขณะที่เครื่องวัดความเปลี่ยนแปลงไฟฟ้ากระแสสลับอ่านค่าเท่ากับศูนย์ ทำให้ทราบว่าวงจรบริดจ์นั้นสมดุล หรือไม่มีความแตกต่างของระดับแรงดันไฟฟ้าตกคร่อมที่ขั้วของเครื่องตรวจจับความเปลี่ยนแปลงไฟฟ้ากระแสสลับ ดังนั้นเราอาจเขียนวงจรบริดจ์ใหม่ได้ดังรูป 1 สำหรับเส้นประในรูปแสดงให้เห็นว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างแรงดันไฟฟ้าที่จุด b และ c จึงไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านระหว่างจุด b และ c


รูปที่ 2

Z1Z4 = Z2Z3
สมการนี้เป็นสมการบริดจ์ทั่วไป และใช้กับวงจรบริดจ์สมดุล ไม่ว่าแขนของวงจรนั้นประกอบด้วยความต้านทานอย่างเดียวหรือประกอยด้วนความจ้านทาน, คาปาซิแตนซ์และอินดักแตนซ์รวมกันก็ตาม


บริดจ์แบบมุมคล้าย (Similar Angle Bridge)
Similar Angle Bridge (รูป 3) เป็นวงจรบริดจ์กระแสสลับที่ใช้วัด capacitive inpedance (Rx และ Cx) โดยใช้คาปาซิเตอร์มาตรฐาน (C2) เป็นองค์ประกอบในการเทียบค่า

รูปที่3

Rx= (R2/R1)R3
Cx = (R1/R3)C2


บริดจ์แบบแมกซ์เวลล์ (Maxwell Bridge)
             Maxwell Bridge (ในรูป 4) เป็นวงจรบริดจ์กระแสสลับที่ใช้วัด inductive impedance (Rx และ Lx) โดยใช้คาปาซิเตอร์มาตรฐาน (C1) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการเปรียบเทียบค่า

รูปที่ 4

Rx = (R2R3)/R1

Lx = R2R3C1

บริดจ์แบบมุมตรงข้าม (Opposite Angle Bridge)
           ปกติเรามักใช้ Similar Angle Bridge หาค่า capacitive impedance แต่ถ้าต้องการหาค่า inductive impedance ทำได้โดยแทนคาปาซิเตอร์มาตรฐานในรูป 3 ด้วนอินดักเตอร์มาตรฐาน

            แต่เนื่องจากอินดักเตอร์มาตรฐานนั้นมีขนาดใหญ่และแพงมาก ดังนั้นการวัดค่า inductive impedance จึงใช้คาปาซิเตอร์มาตรฐานแทน ต้องจัดรูปวงจรบริดจ์ไฟฟ้ากระแสสลับเสียใหม่ดังรูป 5 วงจรที่จัดขึ้นใหม่เรียกว่า Opposite Angle Bridge หรือ Hay Bridge

รูปที่ 5





บริดจ์แบบไวน์ (Wien Bridge)

              Wien Bridge (ในรูป 6) เป็นวงจรบริดจ์ที่ใช้หาค่า capacitive impedance ได้ 2 ลักษณะคือ

  - capacitive impedance ที่มี R และ C ต่อแบบอนุกรม (R1 และ C1) ใช้คาปาซิเตอร์มาตรฐาน C2 เป็นองค์ประกอบในการเปรียบเทียบค่า
 - capacitive impedance ที่มี R และ C ต่อแบบขนาน (R2 และ C2) ใช้คาปาซอเตอร์มาตรฐาน C1 เป็นองค์ประกอบในการเปรียบเทียบค่า

รูปที่ 6




บริดจ์แบบเชริง (Schering bridge)
เป็นบริดจ์ที่มีความสำคัญมากกว่าบริดจ์แบบมุมคล้าย มักใช้ประโยชน์ในการวัดค่าความจุไฟฟ้า เช่น คุณสมบัติความเป็นฉนวน เป็นต้น

รูปที่ 7

จากรูปที่ 7 ความจุไฟฟ้า C3 จะเป็นความจุไฟฟ้ามาตรฐานแบบไมก้า ที่มีคุณภาพสูงสำหรับในงานทั่วไป หรือการวัดความเป็นฉนวน ข้อดีของความจุไฟฟ้าแบบไมก้าก็คือ มีการสูญเสียต่ำมาก เนื่องจากไม่มีความต้านทาน ดังนั้น มุมต่างเฟสจะประมาณ 90 องศาการเป็นฉนวนของวัสดุสามารถทดสอบได้ค่าอิมพีแดนซ์จากบริดจ์แบบเชริง (Schering bridge) จะหาค่าได้จาก
Rx=R2C1/C3
Cx=C3R1/R2


บริดจ์แบบความถี่วิทยุ (radio frequency bridge)
          มักใช้ในห้องปฏิบัติการสำหรับวัดค่าอิมพีแดนซ์ได้ทั้งวงจรความจุไฟฟ้าและความเหนี่ยวนำที่ความถี่สูง เทคนิคการวัดจะใช้การแทนที่โดยลำดับแรกบริดจ์จะสมดุลด้วยการต่อขั้ว Zx ให้ถึงกัน แล้วจึงบันทึกค่า และ ไว้ แล้วจึงนำอิมพีแดนซ์ที่ไม่ทราบค่ามาต่อเข้าที่จุดต่อ Zx การแทนที่นี้จะทำให้ได้ค่า และ ใหม่ ค่าเหล่านี้เป็นข้อมูลในการคำนวณหาค่าของ Zx ดังนี้
Rx= (R3/C2) (C1’-C1)
Xx= (1/w) (1/C4’ - 1/C4)
รูปที่ 8
เมื่อ Xx เป็นได้ทั้งค่าความจุไฟฟ้าหรือค่าความเหนี่ยวนำ ถ้ามีค่าเป็นลบแสดงว่าเป็นความจุไฟฟ้า จะเกิดขึ้นเมื่อ C4’>C4 และ 1/C4’ < 1/C4 จะได้
Cx = 1/w Xx 
ถ้ามีค่าเป็นบวกแสดงว่าเป็นความเหนี่ยวนำจะเกิดขึ้น C4’< C4 และ 1/C4’ > 1/C4 จะได้
Lx = Xx/w


การชีลด์และการต่อลงดินวงจรบริดจ์
            วงจรบริดจ์ไฟสลับที่ได้กล่าวมานั้นจะเป็นวงจรบริดจ์ในอุดมคติซึ่งจะไม่ได้คิดรวมถึงค่าความจุไฟฟ้าแฝง (stray capacitance)
โดยปกติค่าความจุไฟฟ้าเหล่านี้จะมีขนาดไม่แน่นอนแปรไปตามการปรับบริดจ์ ถ้าความจุไฟฟ้าเหล่านี้ไม่ถูกควบคุมอย่างถูกต้องหรือละเลยไปความผิดพลาดที่เกิดจากการวัดก็จะมีค่าสูง วิธีการควบคุมทำได้โดยการชีลด์ (shielding) และการต่อลงดิน (grounding)

รูปที่ 9 ความจุไฟฟ้าที่ปรากฏร่วมในวงจรบริดจ์
ที่มา (เอก ไชยสวัสดิ์, 2539, หน้า 286)

จากรูปที่ 9 แสดงวงจรบริดจ์ไฟสลับวัดค่าความจุไฟฟ้าโดยใช้ความจุไฟฟ้ามาตรฐานแบบปรับค่าได้ จะเห็นได้ว่าเมื่อไม่ได้ต่อลงดินและไม่ได้ชีลด์จะเกิดความจุไฟฟ้าแฝง C1 ถึง C12 ได้เพื่อช่วยทำให้ความจุไฟฟ้าแฝงมีค่าที่แน่นอนและกำหนดตำแหน่งในวงจรบริดจ์ไฟสลับได้จึงจำเป็นต้องทำการชีลด์และการต่อลงดินให้กับวงจร

รูปที่ 10 แสดงผลของการชีลด์และการต่อลงดิน
ที่มา (เอก ไชยสวัสดิ์, 2539, หน้า 287)

จากรูปที่ 10 เมื่อกำหนดการต่อจุด G ให้ลงดินจะทำให้ความจุไฟฟ้า C2 ลัดวงจรถึงกันและทำให้ความจุไฟฟ้า C1ขนานเข้ากับแหล่งกำเนิดสัญญาณ ผลจะทำให้ค่าความจุไฟฟ้าที่ขนานนี้ไม่มีผลต่อวงจรบริดจ์ไฟสลับและการชีลด์โดยรอบความต้านทาน Ra และ Rb จะทำให้ค่าความจุไฟฟ้า C3 C6 C7 และ C11 ถูกแทนที่ด้วยความจุไฟฟ้า C21 C22 และ C27 ซึ่งมีจุดร่วมกันอยู่ที่จุดDจากการชีลด์ที่เหมือนกันทุกประการนี้จะทำให้อัตราส่วนของบริดจ์เป็นหนึ่งอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ขึ้นกับความถี่เนื่องจากความจุไฟฟ้าดังกล่าวมีจุดร่วมเดียวกัน ความจำเป็นที่จะต้องมีการชีลด์ในวงจรบริดจ์ไฟสลับจะมากขึ้นเมื่อความถี่เพิ่มขึ้นและเมื่อระดับอิมพีแดนซ์แขนของบริดจ์มีค่าสูงขึ้นการชีลด์จะจำเป็นอย่างมากในบริดจ์ที่ทำงานที่ความถี่เสียงและความถี่ต่ำกว่า 60 เฮิร์ท


การนำบริดจ์ไฟฟ้ากระแสสลับไปใช้งาน

              AC Bridge นำไปใช้กับเครื่องมือสื่อสารและวงจรอิเลคทรอนิกส์ที่ซับซ้อน เช่น ใช้สำหรับวงจรเลื่อนเฟส, สร้างส่วนที่เป็น Feed back สำหรับออสซิโลสโคป, วงจรขยาย, วงจรกรองสัญญาณ และใช้วัดความถี่ของ Audio Signals 


สรุป
วงจรบริดจ์ไฟสลับส่วนมากมีรูปแบบมาจากบริดจ์แบบวิทสโตน วงจรบริดจ์ไฟสลับชนิดต่างๆ จะแตกต่างกันที่ชนิดของอิมพีแดนซ์ภายในวงจร ซึ่งจะสามารถใช้ในการหาค่าอิมพีแดนซ์ของความจุไฟฟ้าหรืออิมพีแดนซ์ของความเหนี่ยวนำหรือทั้งสองอย่าง โดยอาจแสดงอยู่ในรูปของอิมพีแดนซ์อนุกรมเทียบเท่าหรืออิมพีแดนซ์ขนานเทียบเท่าก็ได้ วงจรบริดจ์ไฟสลับที่ได้กล่าวมานั้นจะเป็นวงจรบริดจ์ในอุดมคติซึ่งจะไม่ได้คิดรวมถึงค่าความจุไฟฟ้าแฝง (stray capacitance) โดยปกติค่าความจุไฟฟ้าเหล่านี้จะมีขนาดไม่แน่นอนแปรไปตามการปรับบริดจ์ ถ้าความจุไฟฟ้าเหล่านี้ไม่ถูกควบคุมอย่างถูกต้องหรือละเลยไปความผิดพลาดที่เกิดจากการวัดก็จะมีค่าสูง วิธีการควบคุมทำได้โดยการชีลด์(shielding) และการต่อลงดิน (grounding) วงจรบริดจ์ไฟสลับนอกใช้ในการวัดค่าองค์ประกอบต่างๆของวงจรแล้วยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวัดความจุไฟฟ้าค่าน้อยๆในขดลวดหม้อแปลง ความยาวของสายเคเบิลอิมพีแดนซ์ของขดลวดลำโพง ความเหนี่ยวนำขดลวดเบี่ยงเบนของหลอดภาพรังสีแคโทด และความเหนี่ยวนำร่วม เป็นต้น


ขอขอบคุณแหล่งที่มาดีๆจาก

 การวัดและเครื่องวัดไฟฟ้า ผู้เขียน เอก ไชยสวัสดิ์